16 พฤษภาคม 2024

สยามแชนแนล , siamchannel.net เส้นทางของข่าวสาร และ ก้าวเดินสู่ดวงดาว

สยามแชนแนล , siamchannel.net เส้นทางของข่าวสาร และ ก้าวเดินสู่ดวงดาว

พิธีไหว้ครู ปู่ฤาษีตาไฟ บ้านแม่ตะเคียน สำเร็จอย่างสุดวิจิตร ลูกศิษย์เข้าร่วมพิธีล้นหลาม

1 min read

พิธีไหว้ครู ปู่ฤาษีตาไฟ   บ้านแม่ตะเคียน

  สำเร็จอย่างสุดวิจิตร

จัดพิธีไหว้ครู ประจำปี 2564 เพื่อน้อมรำลึก

บารมีครูบารมีครูอาจารย์ให้มีสติในการดำรงชีวิตและเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ กับบรรดาลูกศิษย์ทั่วสารทิศ  เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ณ อาศรมปู่ฤาษีตาไฟ บ้านแม่ตะเคียน

 

สำหรับประวัติความเป็นมา งานไหว้ครู

การไหว้ครู คือ การที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือเป็นครูบาอาจารย์อย่างจริงใจว่าท่าน เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการจึงพร้อมใจกันปวารณาตนรับการ ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ มานะ อดทน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายปลายทางของการศึกษา ตามที่ตั้งใจไว้

 

พิธีไหว้ครู เป็นพิธีกรรมที่เป็นประเพณีของไทยที่นิยมปฏิบัติมาแต่สมัยโบราณ แสดงถึงความระลึกถึงบุญคุณของครู การไหว้ครูเป็นการแสดงตนว่าขอเป็นศิษย์ของท่านโดยตรง

 

การไหว้ครูมีใช้ในหลายกิจกรรม เช่น การไหว้ครูในโรงเรียน พิธีกรรมของโรงเรียนในวันครู การไหว้ครูมวย เป็นการไหว้ครูด้วยลีลาของศิลปะมวยไทย เช่นเดียวกับกระบี่กระบอง การไหว้ครู ก่อนการแสดงศิลปะดนตรี เช่น หนังตะลุง และการไหว้ครูในงานประพันธ์ เรียกว่า บทไหว้ครู หรือ อาเศียรวาท (อาเศียรพาท ก็ว่า) เป็นการกล่าวระลึกถึงบุญคุณครู และขอความเป็นมงคล

 

 

บรรยากาศพิธีในช่วงเช้า มีการรำบวงสรวงโดย นักเรียน

สถาบันการขับร้องครูโอปอ ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม นานาชาติ

นำนักเรียนร่วมพิธีบวงสรวงอย่างยิ่งใหญ่

โดยได้รับเกียรติจาก ศิลปินค่ายโอปอลมิวสิค น้องวิววี่ น้องมินๆ น้องเบนซ์ และเยาวชนจากทีมรักษ์ไทย ร่วมรำถวายอย่างสุดซึ้ง

และปี 2564 ครูโอปอ ครูสอนร้องเพลงได้ตั้งใจทำเพลงบารมีครู ถวายครูบาอาจารย์ในงานประจำปี นี้อีกด้วย สร้างความปลาปลื้ม ให้กับบรราดาลูกศิษย์

หลังจากรำถวายเสร็จ มีการไหว้ครูอัญเชิญบรมครู   เหล่าทวยเทพเทวดาและอัญเชิญเทพทุกสารทิศมาร่วมอนุโมทนา บรมครูปู่ฤๅษีประทับและช่วงบ่ายมีพิธีครอบเศียรประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่มาร่วมพิธี ครอบเศียรพ่อแก่หรือปู่ฤๅษี และอัญเชิญร่างปู่ฤาษีจุลัยไตรภพเนตร เข้าประทับร่างทรง อาจารย์น้อย เจ้าพิธี เพื่อทำพิธีไหว้ครูและครอบเศียรให้กับลูกศิษย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล และเนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 และถือว่าเป็นวันสำคัญ

 

หลังจากเสร็จพิธี ครอบเศียร ทางปู่ฤาษี ได้ให้พรกับลูกศิษย์ พร้อมกับประพรมน้ำมนต์ ให้กับที่มาร่วมงานพิธีไหว้ครู ให้อยู่ดีมีสุข ปีใหม่นี้ด้วยกันทุกคน

 

สำหรับประวัติความเป็นมาของปู่ฤาษีตาไฟ

ปู่ฤษีตาไฟ

ตำนานเกี่ยวกับผู้วิเศษคือเรื่องราวหนึ่งในตำนาน ที่ถูกกล่าวขานอยู่ทั่วโลก อย่างในสุวรรณภูมิเรานั้นมีเรื่องราวผู้วิเศษหลายท่าน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และพระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ รวมทั้งเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลักโยคะศาสตร์ต่างๆ เช่น เล่นว่านยา เล่นแร่แปรธาตุ เล่นอาคม

ก็สามารถเข้าถึงอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติได้ จากตำนานทั่วไปเราพบว่าอำนาจวิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมักจะพบอยู่ในผู้ที่ออก บวช

โดยเฉพาะเหล่าฤาษีทั้งหลาย ทั้งนี้ฤาษีคือพวกออกบวชพระพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด และเข้าถึงอำนาจแห่งพระเป็นเจ้า

โดยมากนั้นฤาษีมักนับถือพระเป็นเจ้าตามคติลัทธิพราหมณ์ คือ นับถือพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์

การภาวนาของฤาษีอยู่ในหลักของการเล่นพลัง การเล่นกสิณ

ดังนั้น ฤาษีจำนวนไม่น้อยจึงบรรลุ ถึงอำนาจที่เหนือธรรมชาติจากการปฏิบัติโยคะทางจิต

อำนาจของฤาษีที่บรรลุฌานสมาบัตินั้น ได้แก่ อำนาจในการเดินบนผิวน้ำ การดำดิน การเหาะเหินเดินอากาศ การย่นระยะทาง การรู้วาระจิต การได้หูทิพย์ ตาทิพย์ และอำนาจจิตในการบังคับควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้อย่างเด็ดขาด เหล่านี้คืออำนาจที่อยู่ในพระฤาษีที่ลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า

เรื่องราวของพระฤาษีตาไฟนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องลี้ลับเพราะนามพระฤาษีตาไฟนั้น ปรากฏมาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว

ความลี้ลับของพระฤาษีตาไฟนั้นพอเทียบได้กับเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ยากจะสืบค้นความจริงได้

ในปัจจุบันจะเห็นว่าการสร้างรูปเคารพของพระฤาษีตาไฟนั้นมักปรากฏเป็นพระฤาษี ที่มีสามตา โดยมีตาที่สามกลางหน้าผาก

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ลืมขึ้นมาเมื่อใด จะบังเกิดเป็นไฟประลัยกัลป์ ขึ้น เมื่อนั้น

ลักษณะของตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีบุญและมีตบะฌานที่แก่กล้า

ตามคติทางพราหณ์และพุทธนั้นกล่าวว่าบุคคลที่ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตมาหลายร้อย หลายพันชาติ เป็นอนันตชาตินั้น

เมื่อบังเกิดขึ้นมาในภพชาติปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มี บุญเกิดขึ้นกับร่างกายหลายอย่าง และอย่างหนึ่งก็คือการมีอุณาโลมที่กลางหน้าผาก

อุณาโลมกลางหน้าผากนี้กับภาวะตาที่สามเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งตาที่สามหรือดวงตาแห่งเทพเจ้าพระอิศวรหรือพระศิวะ ถือว่าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่ง ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์ทรงมีสามตา

โดยตาที่สามพระองค์นั้นอยู่กลางหน้าผากดุจเดียวกับพระฤาษีตาไฟ และเหมือนกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พระอิศวรทรงลืมพระเนตรขึ้น เมื่อนั้นย่อมบังเกิด ไฟประลัยกัลป์ขึ้นมา

ความเหมือนกันโดยบังเอิญของตำนานพระอิศวรและพระฤาษีตาไฟ ที่พ้องกันเช่นนี้ทำให้เชื่อว่าท่านทั้งสองคือพระฤาษีตาไฟและพระอิศวรย่อมมี ความเกี่ยวพันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

และพอเชื่อได้ว่าพระฤาษีตาไฟแท้จริงแล้ว ก็คือภาคหนึ่งของพระศิวะหรือพระอิศวรเจ้านั้นเอง

ในหมู่บรรดาฤาษีโยคีทั้งปวงแล้ว ต้องนับถือว่าพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด

เพราะพระอิศวรหรือพระศิวะ นั้นแท้จริงแล้วคือบรมโยคีหรือมหาโยคี เป็นเทพฤาษีที่ทรงตบะสูงสุด

ทั้งนี้ฤาษีทั้งหลายย่อมบูชาโดยตรงต่อองค์พระศิวะด้วยกันทั้งสิ้นและนับถือ กันว่า พระศิวะนี้ คือพระเป็นเจ้า พระศิวะคือต้นตอแห่งฤาษีทั้งหลาย

การบำเพ็ญทั้งหลายของฤาษี โยคีย่อมมุ่งตรงต่อพระศิวะทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตรีเนตร และพระฤาษีอิศวร

ซึ่งแท้จริงก็คือท่านเดียวกัน ย่อมมีฐานะเป็นฤาษีสูงสุดเป็นเจ้าแห่งฤาษีทั้งปวง และย่อมเป็นประธานแห่งฤาษีทั้งหลายด้วย

ความหมายแห่งตาที่สาม หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับพระฤาษีตาไฟ คือ เรื่องตาที่สามของพระคุณเจ้าฤาษีตาไฟ

เพราะตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนั้น นับเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์

จุดตาที่สามนี้หากเราทำ การค้นคว้าสอบถามครูบาอาจารย์และนักพลังจิตจะพบว่า เป็นจุดกึ่งกลางหน้าผากของคนเรานั้นเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานลี้ลับ

ทางโยคะศาสตร์เรียกตรงนี้ว่า “อาชญะจักรา” หรือตาที่สาม เป็นจุดที่สามารถปลดปล่อยพลังงานทางจิตในระดับสูง

และกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถพัฒนาจุดศูนย์รวมพลังงานตำแหน่งนี้ (จักรา) จะเกิดอำนาจทางทิพยจักษุญาณ

และหากกล่าวถึงการฝึกเพื่อเปิดตาที่สามตามแนวทางโยคีทางฮินดูแล้ว จะกล่าวถึงวิชาโยคะศาสตร์อันเร้นลับที่เชื่อว่าภายในตัวเรานั้นมีเส้น พลังงานบางอย่างภายในตัว

และนอกจากนี้ยังมีศูนย์รวมพลังงานอยู่ทั้งหมดถึง 7 จุดด้วยกัน บริเวณตำแหน่งตาที่สามคือจุดที่หก เรียกว่า จักราที่หก หรือที่เรียกว่าอาชญะจักรนี่เอง

การเปิดจักรานี้จะทำได้ก็ด้วย การเดินพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ภายในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า “พลังกุณฑาลินี”

พลังงาน ชนิดนี้จะขดตัวอยู่ ณ บริเวณก้นกบ โยคีต้องทำการเข้าสมาธิเพื่อปลุกพลังงานดังกล่าวให้ตื่นขึ้น อย่างเหมาะสม

การปลุกพลังกุณฑาลินีในตำราโบราณกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อันตราย หากทำโดยไม่มีผู้รู้แนะนำแล้วพลังดังกล่าวเมื่อเคลื่อนตัวขึ้นมาสู่บริเวณ หน้าผากหรือตำแหน่งตาที่สาม

จะก่อให้เกิดการเปิดจักรานี้เป็นผลให้บุคคลผู้ นั้นมีภาวะเห็นสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาของคนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ เช่น การมองเห็นออร่าหรือรัศมีของร่างกายของคนเรา การทำนายโดยใช้กระแสจิต เป็นต้น

ซึ่ง พลังนี้ยังรวมไปถึงการปลดปล่อยพลังจิตเพื่อทำการโทรจิตก็ได้ และหากบุคคลผู้นั้นผ่านการฝึกฝนกสินมาด้วยแล้วย่อมสามารถปลดปล่อยพลังออกมา จากตาที่สามทำให้ เกิดไฟขึ้นได้เรียกว่าเพ่งไปที่ใดก็เกิดไฟลุกขึ้นที่นั่นเป็นดั่งพระฤาษีตา ไฟนั่นเอง

ในคำไหว้ครู มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทย อยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ

ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่า จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า

ตำบล เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตน

ตนหนึ่งฤาษีพิลาไลย์

ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ

ตนหนึ่งฤาษีตาวัว

เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้

ฉะนี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย

สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐

ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด

ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิดดังนี้แสดงว่า แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเราก็มีฤาษีอยู่มาก โดยเฉพาะ ฤาษีตาวัว กับ ฤาษีตาไฟ ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่นๆ และประวัติก็มีมากกว่า เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้

ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นพระสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จน สามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน

ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน

หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังเดิม

แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่บัดนั้น

ส่วน ฤาษีตาไฟ กับฤาษีตาวัวนั้น ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ ท่านออกจะรักใคร่กันมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง

วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าเรื่องให้ศิษย์ฟังว่า ในถ้ำมีบ่อน้ำอยู่สองบ่อ แต่ละบ่อมีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครลงไปแช่ก็จะตายเหลือแต่โครงกระดูก และถ้านำโครงกระดูกลงแช่ในอีกบ่อน้ำหนึ่งก็จะฟื้นขึ้นมา อีกบ่อน้ำนี้เหมือนชุบชีวิตได้

ศิษย์ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาร่างหรือโครงกระดูกของตนลงแช่ในอีกบ่อหนึ่ง เพื่อคืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ

ฤาษีตาไฟจึงลงแช่ในบ่อน้ำนั้นให้ดู ฤาษีก็ตายเหลือแต่โครงกระดูก ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีกลับเมืองไปเสีย และคิดว่าเมื่อสิ้นอาจารย์ไปแล้ว ตนย่อมเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ไม่มีใครทำอะไรตนได้ ไม่ต้องหวาดกลัวหรือเกรงใจผู้ใดอีกต่อไป

กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักเอ๊ใจสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตามหาที่ถ้ำ

เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำนั้น ก็เห็นซากโครงกระดูกอยู่ภายในบ่อ จึงคิดว่าเป็นซากโครงกระดูกของฤาษีตาไฟเป็นแน่

ฤาษีตาวัวจึงนำโครงกระดูกลงไปแช่อีกบ่อน้ำนึง ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง

และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมืองให้ได้

ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงขนาดนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวอาคม ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้

พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวอาคมคอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง

ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด รวมทั้งศิษย์ลูกเจ้าเมืองด้วย เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น

ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง

ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า “ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา”

 

และทางอาศรมได้มีการเสริมดวงชะตา พร้อมกับลงลายมือ สักยันต์ มหามงคลอีกด้วย

สามารถติดต่อได้ที่เพจ

อาศรมปู่ฤาษีตาไฟ บ้านแม่ตะเคียน

ขอขอบคุณกำลังสำคัญของงานไหว้ครูในปีนี้

#ขอบคุณลูกศิษย์ปู่ทุกๆคนที่ร่วมแรงร่วมกายจัดเตรียมพานเตรียมสถานที่ (นู๋นา นู๋แพน นู๋ปู นู๋อ้อ นู๋เฟริ์น  นู๋แอน นัท พี่จอย)

#ขอบคุณทีมงานแม่ครัวตัวอ้วงที่ทำกับข้าวเลี้ยงลูกศิษย์ในงาน

( เจ๊รุ่ง เจ๊ไข่ นู๋ลิ นู๋ฝน ป้าสร พี่กร น้องเอ็ม)

#ขอบคุณน้ำชงสำหรับเลี้ยงลูกศิษย์ (พี่น้อยขายน้ำ)

#ขอบคุณทีมงานรถซิ่งรถสำหรับขนย้ายของและรับพระ

#ทีมงานจัดต่อหิ้งปู่(นู๋เจี๊ยบ ชายอ้วน นู๋เกรซ ชายเปรม ชายนนท์)

#ขอบคุณทีมงานแสงไฟ (พี่หัส ชายเงาะ )

#ขอบคุณลูกศิษย์ที่มาเป็นพี่เลี้ยงช่วยปู่ (แม่ทิวารี)

#ขอบคุณสำหรับสถานที่จัดงานและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง (ผู้ใหญ่เทพ)

#ขอบคุณสำหรับช่างภาพสมัครเล่นที่เก็บภาพสวยๆไว้ให้ได้ชม

#ขอบคุณคณะนางรำจากศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมนานาชาติ (ครูโอปอ)

#ขอบคุณแม่งานบายศรีที่สวยและอลังการ และบายศรีหลักที่สวย (คุณนนท์ดับเพลิงและครอบครัว)

#ขอบคุณคณะปี่พาทย์ (ครูตุ้ม วังพญา)

#ขอบคุณโหราที่มาประกอบพิธีเรียกสู่ขวัญลูกศิษย์และเบิกแม่บายศรี (โหราบาส)

#ขอบคุณบ้านใกล้เรือนเคียงที่อำนวยความสะดวกในการใชสถานที่

#ขอบคุณลูกศิษย์ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้

และที่ขาดไม่ได้คือครอบครัวพ่อแม่และลูกศิษย์ลูกหลานปู่ทุกๆคนที่มาร่วมงาน และมาร่วมแรงกำลังกายกำลังใจทุกๆคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Copyright © All rights reserved. | Newsphere by AF themes.